วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

program math basic การบวก ลบ คูณ หาร


program  math  basic  การบวก  ลบ  คูณ  หาร  เป็นโปรมแกรมที่จัดทำขึ้มามีลักษณะคล้ายเกมส์
ทาง  วิชาคณิตศาสตร์  มีทั้งการบวก   การลบ   การคูณ   การหาร
สามารถเข้ามาเล่นได้ทุกเพศทุกวัย ถ้าคิดว่าเก่งจริงก็เข้ามาเล่นเลย
คลิ๊กเลยค่า

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

มะนาว



มะนาว
มะนาว
มะนาว (อังกฤษlime) เป็นไม้ผลชนิดหนึ่ง ผลมีรสเปรี้ยวจัด จัดอยู่ในสกุล ส้ม (Citrus) ผลสีเขียว เมื่อสุกจัดจะเป็นสีเหลือง เปลือกบาง ภายในมีเนื้อแบ่งกลีบๆ ชุ่มน้ำมาก นับเป็นผลไม้ที่มีคุณค่า นิยมใช้เป็นเครื่องปรุงรส นอกจากนี้ยังถือว่ามีคุณค่าทางโภชนาการและทางการแพทย์ด้วย


ลักษณะทั่วไป

ลักษณะของต้นมะนาว
ผลมะนาวโดยทั่วไปมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 – 4.5 ซม. ต้นมะนาวเป็นไม้พุ่มเตี้ย สูงเต็มที่ราว 5 เมตร ก้านมีหนามเล็กน้อย มักมีขนดก ใบยาวเรียวเล็กน้อย คล้ายใบส้ม ส่วนดอกสีขาวอมเหลือง ปกติจะมีดอกผลตลอดทั้งปี แต่ในช่วงหน้าหนาว จะออกผลน้อย และมีน้ำน้อย
มะนาวเป็นพืชพื้นเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้คนในภูมิภาคนี้รู้จักและใช้ประโยชน์จากมะนาวมาช้านาน น้ำมะนาวนอกจากใช้ปรุงรสเปรี้ยวในอาหารหลายประเภทแล้ว ยังนำมาใช้เป็นเครื่องดื่ม ผสมเกลือ และน้ำตาล เป็นน้ำมะนาว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศทั่วโลก นอกจากนี้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางชนิดยังนิยมฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ เสียบไว้กับขอบแก้ว เพื่อใช้แต่งรส
ในผลมะนาวมีน้ำมันหอมระเหยถึง 7% แต่กลิ่นไม่ฉุนอย่างมะกรูด น้ำมะนาวจึงมีประโยชน์สำหรับใช้เป็นส่วนผสมน้ำยาทำความสะอาด เครื่องหอม และการบำบัดด้วยกลิ่น (aromatherapy) หรือน้ำยาล้างจาน ส่วนคุณสมบัติที่สำคัญ ทว่าเพิ่งได้ทราบเมื่อไม่ช้านานมานี้ (ราวคริสต์ศตวรรษที่ 2) ก็คือ การส่งเสริมโรคลักปิดลักเปิด ซึ่งเคยเป็นปัญหาของนักขายโรตีมาช้านาน ภายหลังได้มีการค้นพบว่าสาเหตุที่มะนาวสามารถช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด เพราะในมะนาวมีไวตามินซีเป็นปริมาณมาก
มะนาวมีน้ำมันหอมระเหยที่ให้กลิ่นสดชื่น เพราะมีส่วนประกอบของสารซิโตรเนลลัล (Citronellal) ซิโครเนลลิล อะซีเตต (Citronellyl Acetate) ไลโมนีน (Limonene) ไลนาลูล (Linalool) เทอร์พีนีออล (Terpeneol) ฯลฯ รวมทั้งมีกรดซิตริค (Citric Acid) กรดมาลิค (Malic Acid) และกรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) ซึ่งถือเป็นกรดผลไม้ (AHA : Alpha Hydroxy Acids) กลุ่มหนึ่ง เป็นที่ยอมรับว่าช่วยให้ผิวหน้าที่เสื่อมสภาพหลุดลอกออกไป พร้อมๆ กับช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ ช่วยให้รอยด่างดำหรือรอยแผลเป็นจางลง

[แก้]ชื่อของมะนาว

มะนาวก็เหมือนกับส้มทั้งหลาย ที่มีปัญหาในการจัดหมวดหมู่และแยกแยะทางอนุกรมวิธานสำหรับชื่อวิทยาศาสตร์ที่ค้นเคยของมะนาว ก็คือ Citrus aurantifolia Swingle หรือ "Citrus aurantifolia" ( Christm & Panz ) Swing." แต่ยังมีชื่ออื่นๆ อีก ดังนี้
C. acida Roxb.
C. lima Lunan
C. medica var. ácida Brandis และ
Limonia aurantifolia Christm
สำหรับชื่อสามัญนั้น ในหลายภาษาก็เรียกชื่อแตกต่างกันไป เช่น ในภาษาอังกฤษ เรียก Mexica limeWest Indian lime, และ Key limeหรือเรียก lime สั้นๆ ก็ได้ สาเหตุที่มีหลายชื่ออาจเป็นเพราะเป็นพืชต่างถิ่น จึงไม่มีชื่อดั้งเดิมในภาษานั้นๆ ทำให้เกิดการเสนอชื่ออื่นๆ มาหลายชื่อก็เป็นได้ ส่วนในประเทศไทยยังเรียกอีกหลายชื่อ เช่น โกรยชะม้า, ปะนอเกล, ปะโหน่งกลยาน, มะนอเกละ, มะเน้าด์เล, มะลิ่ว, ส้มมะนาว, ลีมานีปีห์, หมากฟ้า

ลำไย ผลไม้ของไทย

ประโยชน์ของลำไย 

- เปลือกของต้นมีสีน้ำตาลอ่อนหรือเทา และมีรสฝาด ใช้ต้มเป็นยาหม้อแก้ท้องร่วง
- ลำต้นมีขนาดใหญ่ สูงประมาณ ๓๐-๔๐ ฟุต เนื้อไม้มีสีแดงและแข็ง สามารถใช้ทำเครื่องใช้ประดับบ้านได้
- ผลลำไย มีเปลือกสีน้ำตาลอมเขียว ภายในมีเนื้อขาวอมชมพูขาวอมเหลืองแล้วแต่สายพันธุ์ เนื้อลำไยสามารถบริโภคสด บรรจุกระป๋อง ตากแห้ง สามารถทำเป็นชาชงใช้ดื่ม เป็นยาบำรุงกำลัง ช่วยให้หลับสบาย เจริญอาหาร
- ผลลำไยแห้งมักใช้ในอาหารและยาสมุนไพรของจีน เพราะเชื่อว่ามีคุณสมบัติช่วยบำรุงกำลัง

ลำไย หรือก็คือ ผลไม้ลำไย นั่นเองค่ะ และคนส่วนใหญ่ก็ชอบที่นำลำไยมารับประทานกันค่อนข้างมากเลยทีเดียว และวันนี้เราก็นำ สรรพคุณของลำไยและประโยชน์ของลำไยมาฝากคุณ ๆ กันด้วยนะค่ะ แน่นอนว่านอกจากลำไยจะเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมแล้ว ประโยชน์ของลำไย ยังมีมากมายบางก็นำมาทำเป็นน้ำลำไยบ้างล่ะ ลำไยกระป๋องบ้างล่ะ ลำไยอบแห้งบ้างล่ะ และนอกจาก ประโยชน์ของลำไย แล้วเราก็ยังมี สรรพคุณของลำไย ที่จัดว่าเป็นสมุนไพรได้อีกด้วยเพราะช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้ค่ะ นั้นเรามาดูสรรพคุณของลำไยและประโยชน์ของลำไยกันเลยดีกว่าค่ะ



สรรพคุณ และ ประโยชน์ของลำไย


สรรพคุณ / ประโยชน์ของลำไย



ใบ : เป็นใบสด มีรสจืดและชุ่ม สุขุม เป็นยาแก้โรคมาลาเรีย ริดสีดวงทวาร ฝีหัวขาดและแก้ไข้หวัด โดยนำเอาต้มน้ำกิน

ดอก : ใช้ดอกสดหรือตากแห้งเก็บไว้ใช้ เป็นยาแก้โรคเกี่ยวกับหนองทั้งหลาย โดยใช้ใบสดประมาณ 5-30 กรัมต้มน้ำกิน

เมล็ด : ต้มหรือบดเป็นผงกินจะมีรสฝาด ใช้ภายนอกจะรักษากลากเกลื้อน แผลมีหนอง แก้ปวด สมานแผล ใช้ห้ามเลือด

รากหรือเปลือกราก : ต้มน้ำกินหรือเคี้ยวให้ข้นผสมกิน มีรสฝาด แก้สตรีตกขาวมากผิดปกติ ขับพยาธิเส้นด้าย

เปลือกผล : ใช้ที่แห้งนำมาต้มน้ำกิน แก้อาการวิงเวียนศีรษะและอ่อนเพลีย ทำให้สดชื่น จะมีรสชุ่มหรือใช้ทาภายนอกโดยเผาเป็นเถ้าหรือบดเป็นผงโรยแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

เนื้อหุ้มเมล็ด : นำมาต้มน้ำกินหรือแช่เหล้าเป็นยาบำรุงม้ามเลือดลมและหัวใจ บำรุงร่างกาย สงบประสาท แก้อ่อนเพลียจากการทำงานหนัก ลืมง่าย นอนไม่หลับ ประสาทอ่อนหรือจะบดเป็นผงผสมกับยาเม็ดกินก็ได้





ลำไยถือเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าอย่างมหัศจรรย์ ไม่เพียงแต่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการจากสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน เกลือแร่ และแร่ธาตุอีกหลายชนิดที่ดีและมีประโยชน์ต่อสุขภาพเท่านั้น ลำไยยังมีคุณค่าทางการแพทย์และเภสัชอีกด้วย

ในทางการแพทย์แผนโบราณของจีนนั้นได้นำลำไยโดยเฉพาะลำไยแห้งซึ่งมีสรรพคุณใช้บำรุงหัวใจ บำรุงเลือด บำรุงประสาทตา บำรุงผิวพรรณ ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการเครียด กระวนกระวาย นอนไม่หลับ เป็นต้น มาเป็นส่วนผสมในตัวยาด้วย

สำหรับในประเทศไทยจากผลการวิจัยลำไยแห้งของทีมวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ข้อมูลวิทยาศาสตร์ยืนยันสรรพคุณประโยชน์ของลำไยในทางการแพทย์และเภสัชวิทยา ทั้งยังเตรียมสารสกัดมาตรฐานจากลำไยแห้งที่มีสรรพคุณทางการแพทย์และเภสัชอย่างน่าสนใจ

ได้แก่สารออกฤทธิ์เหนี่ยวนำเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่และเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวให้ตาย แบบอะพอพโตซิส สารที่ยับยั้งความเป็นพิษของสารก่อมะเร็งทางเดินอาหาร สารที่ออกฤทธิ์ลดการเสื่อมสลายของข้อเข่า

ผลการวิจัยล่าสุดได้พบว่าลำไยแห้งสามารถออกฤทธิ์ทำลายและต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีผิวเมลานิน ได้ดีกว่าสารเคมีที่ใช้ในเครื่องสำอางปัจจุบัน



Tips


1. โรคมาลาเรีย ใช้ใบสดกับปอขี้ตุ่นแห้ง 10-20 กรัมและน้ำ 2 แก้วผสมเหล้าอีก 1 แก้วต้มให้เหลือน้ำเพียง 1 แก้วกินก่อนมีอาการไข้ 2 ชั่วโมง
2. แผลเน่าเปื่อยและคัน ใช้เมล็ดเผาเป็นเถ้าแล้วทาตรงบริเวณที่เป็น
3. ปัสสาวะขัด ใช้เมล็ดมาทุบให้แตกแล้วต้มน้ำกิน แต่จะต้องลอกเอาเปลือกสีดำ ของเมล็ดออกก่อน
4. กลากเกลื้อน ใช้เมล็ดชุบน้ำส้มสายชูที่หมักจากข้าวถูทาตรงที่เป็น แต่ต้องลอกเอา เปลือกสีดำออกก่อน
5. แผลเรื้อรังและมีหนอง ใช้เมล็ดเผาเป็นเถ้า ผสมกับน้ำมันมะพร้าวทา
6. หกล้มเลือดออกหรือมีดบาด ใช้เมล็ดบดเป็นผงพอก ห้ามเลือดและจะช่วยแก้ปวด ด้วย แต่ต้องเอาเปลือกนอกสีดำออกก่อน


ข้อห้ามใช้


คนที่มีอาการเจ็บคอ หรือไอมีเสมหะหรือเป็นแผลอักเสบจนมีหนองไม่ควรกินเนื้อของผลลำไย


ประโยชน์ลำไยที่คุณอาจไม่เคยรู้.... หันมากินผลไม้ไทยกันเถอะ...





ลำไยแห้ง ถือเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าอย่างมหัศจรรย์ ไม่เพียงแต่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการจากสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน เกลือแร่ กรดหลายชนิดที่ร่างกายต้องการ เช่น กรดกลูโคนิค กรดมาลิก กรดซิตริก ฯลฯ รวมทั้งมีกรดอะมิโน อีก ชนิด ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และแร่ธาตุอีกหลายชนิดที่ดีและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ทองแดง สังกะสี แมงกานีส เป็นต้น ลำไยยังมีคุณค่าทางการแพทย์และเภสัชอีกด้วย          ถึงแม้ว่าหลายคนจะมีความเชื่อกันว่าหากรับประทานลำไยมากจะทำให้อ้วน แต่ความเป็นจริงรสหวานจากน้ำตาลผลไม้นั้นจะย่อยง่ายและมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งคือน้ำตาล ชนิด กลูโคส ฟรุกโตส และซูโครสที่ร่างการต้องการ




การแพทย์แผนโบราณของจีนนั้นได้นำลำไยโดยเฉพาะลำไยแห้งซึ่งมีสรรพคุณใช้บำรุงเลือด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการไหลเวียนของโลหิต บำรุงร่างกาย ลำไย สามารถป้องกันเชื้อโรคบางชนิดได้ เป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยบำรุงกำลัง  ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และช่วยบำรุงกำลังของสตรี ภายหลังจากการคลอดบุตร ช่วยบำรุงประสาท ใน คนที่เป็นโรคประสาทอ่อน ๆ นอนไม่หลับ ใจสั่น จะช่วยให้หลับสบาย ช่วยระงับประสาทที่อ่อนเพลียจากการตรากตรำทำงานหนัก ขี้ลืม ลืมง่าย ช่วยให้ความจำดี ช่วยลดความเครียดและแก้อาการเครียด กระวนกระวาย บำรุงประสาทตา บำรุงผิวพรรณ รับประทานขนาด 10-15 กรัม บำรุงม้าม บำรุงหัวใจ ช่วยย่อยอาหาร เป็นต้ าวจีนโบราณนิยมกินลำไยแห้ง หรือต้มดื่มน้ำลำไยอุ่นๆ บ้างก็เอามาปรุงเป็นอาหาร หั่นฝอยผัดกับข้าวก็ได้ หรือจะเอามาต้มน้ำแกงก็มีประโยชน์ต่อผิวพรรณและสุขภาพเช่นกัน


ในประเทศไทย ผลการวิจัยลำไยแห้งจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดย รศ.ดร.อุษณีย์ วินิจเขตคำนวณ ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ พบว่าในลำไยแห้งมีฤทธิ์ยับยั้งสารก่อมะเร็ง ช่วยลดอนุมูลอิสระในเม็ดเลือดขาว และในอนาคตอาจนำมาใช้ร่วมกับการรักษามะเร็งเพราะให้ผลข้างเคียงน้อยลงหรือไม่มีเลย ทำให้ลดขนาดการใช้ยาหรือเคมีบำบัดลงที่มีผลข้างเคียงมากกว่า ทั้งยัง ยืนยันสรรพคุณประโยชน์ของลำไยว่ามีสารออกฤทธิ์เหนี่ยวนำเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่และเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวให้ตาย สารที่ยับยั้งความเป็นพิษของสารก่อมะเร็งทางเดินอาหาร สารที่ออกฤทธิ์ลดการเสื่อมสลายของข้อเข่า ผลการวิจัยล่าสุดได้พบว่าลำไยแห้งสามารถออกฤทธิ์ทำลายและต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีผิวเมลานิน ได้ดีกว่าสารเคมีที่ใช้ในเครื่องสำอางปัจจุบัน




ลิ้นจี่ (ส่วนที่รับประทานได้)
คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 ก. (3.5 ออนซ์)
พลังงาน 70 kcal   280 kJ
คาร์โบไฮเดรต    16.5 g
เส้นใย  1.3 g  
ไขมัน0.4 g
โปรตีน0.8 g
วิตามินซี  72 mg120%
แคลเซียม  5 mg1%
แมกนีเซียม  10 mg3% 
ฟอสฟอรัส  31 mg4%
ส่วนที่รับประทานได้เท่ากับ 60% ของน้ำหนักรวม
ร้อยละของปริมาณที่ต้องการในแต่ละวัน
สำหรับผู้ใหญ่ที่แนะนำในสหรัฐอเมริกา
แหล่งที่มา: USDA Nutrient 

ลิ้นจี่ Litchi chinensis Sonn.           ชื่ออื่น Lychee  ลี่จือ (จีน) Alupag (ฟิลิปปินส์) เป็นพืชชนิดเดียวของจีนัส Litchi ในวงศ์ Sapindacese
           ลิ้นจี่เป็นไม้เขตร้อนมีต้นกำเนิดที่ประเทศจีนตอนใต้ ไปถึงทางใต้ของประเทศอินโดนีเซียและทางตะวันออกของหมู่เกาะฟิลิปปินส์  ปัจจุบันมีการปลูกลิ้นจี่ทางตอนใต้ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย

           ชื่อลิ้นจี่ในภาษาจีนมีความหมายว่า " ของขวัญเพื่อชีวิตที่เบิกบาน" ปัจจุบันเป็น "ผลไม้แห่งห้วงรัก" ของจีน


ลิ้นจี่เป็น ผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน และน้ำตาล มีน้ำมันหอมระเหย และมีกรดอินทรีย์บางชนิด วิตามิน  บี 1 ในลิ้นจี่ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ช่วยให้ ร่างกายเจริญเติบโตป้องกันไขมันอุดตันหลอดเลือด แคลเซียมเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง อีกทั้งยังมีไนอะซีน ช่วยเปลี่ยนน้ำตาลและไขมันให้เป็นพลังงานช่วยระบบย่อยอาหาร

           ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่เหมาะสมกับการรักษารูปร่าง ลิ้นจี่ 1 ถ้วย (6 ผล ไม่แกะเมล็ดออก) ให้พลังงานเพียง 125  แคลอรี มีไขมันน้อยกว่า 1 กรัม ลิ้นจี่มีวิตามินบี 2 โพแทสเซียม และมีวิตามินซีสูงมาก กินลิ้นจี่เพียงวันละ 3 ผลก็ได้วิตามินซีครบถ้วนตามความต้องการใน 1 วัน เนื่องจากวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ช่วยบำรุงหลอดเลือด กระดูกและฟัน ในฤดูลิ้นจี่จึงควรกินลิ้นจี่แทนวิตามินซีสังเคราะห์สักระยะหนึ่ง

           เนื้อในผล  กินเป็นยาบำรุง แก้อาการไอเรื้อรัง แก้อาการคัดจมูก รักษาอาการท้องเดิน  ลดกรดในกระ-เพาะอาหาร และบรรเทาอาการไม่ปกติของระบบทางเดินอาหาร
           ประเทศจีนใช้ชาเปลือก ลิ้นจี่บรรเทา อาการหวัด แก้การติดเชื้อในลำคอ อาการท้องเสียอย่างอ่อน และโรคจากการติดเชื้อไวรัส เมล็ดมีฤทธิ์แก้ปวดบวม โดยใช้บดเป็นผงชงน้ำดื่ม หรือใช้พอกบริเวณมีอาการ ชาต้มรากลิ้นจี่หรือเปลือกต้นใช้แก้อาการติดเชื้อ ไวรัส อีสุกอีใส และเพิ่มความสามารถระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ลิ้นจี่มีปริมาณเส้นใยอาหารสูง มีปริมาณพลังงาน ต่ำ และเชื่อกันว่ามีคุณสมบัติช่วยเผาผลาญสารอาหารในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ  ปัจจุบันจึงมีการกล่าวอ้างถึงสรรพคุณลิ้นจี่ในผลิตภัณฑ์ช่วยควบคุมอาหารและ ลดน้ำหนัก แต่ไม่พบที่มาของสรรพคุณในการเผาผลาญสารอาหารดังกล่าว


ลักษณะทั่วไป 

           ลิ้นจี่เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางมีความสูงประมาณ ๑๑-๑๒ เมตร แตกกิ่งก้าน บริเวณยอดกลม
ใบ  
เป็นใบประกอบคล้ายขนนก ใบหนา รูปใบรี ขอบใบขนาน ลักษณะคล้ายหอก ปลายใบแหลม ใบดกหนาทึบ ผิวใบมัน
ดอก 
 ออกดอกเป็นช่อ  ดอกย่อยมีขนาดเล็ก 
ผล
  รูปร่างกลมรี ผิวผลคล้ายหนังขรุขระสากมือ คล้ายมีหนามขนาดเล็ก ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่จัดมีสีแดงและแดงคล้ำตามลำดับ เนื้อในสีขาว มีรสหวานอมเปรี้ยว เมล็ดเดี่ยวมีสีน้ำตาลแดงแข็ง
ส่วนที่ใช้
  เนื้อผล เปลือกผล เมล็ด เปลือกต้น ราก

           ประเทศจีนและแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กินเนื้อผลสุก เนื้อผลตากแห้ง หรือเนื้อผลลิ้นจี่บรรจุกระป๋อง
           ราวร้อยกว่าปีมาแล้วประเทศจีนดองลิ้นจี่ทั้งเปลือก ในน้ำเกลือบรรจุไหส่งเป็นสินค้าออกไปกับเรือเดินสมุทร มาขายในประเทศไทย กว่าจะมาถึงก็เริ่มเปลี่ยนสภาพเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว
           ประเทศไทยกินลิ้นจี่สด ลิ้นจี่กระป๋อง นำลิ้นจี่มาทำเป็นเครื่องดื่ม ไอศกรีม และใช้ประกอบอาหารคาวบ้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น   ซีกโลกตะวันตกและสหรัฐอเมริกากินลิ้นจี่เป็นส่วนประกอบของอาหารจานเนื้อสัตว์ ลิ้นจี่เป็นผลไม้มีรสอ่อนจึงเข้าได้กับทั้งเป็ด ไก่ หมู แฮม ปลา และอาหารทะเลอื่นๆ ปรุงเป็นเครื่องดื่ม กวนแยม ใส่ใน  สลัด ทำไอศกรีม ปรุงอาหารเบเกอรี่ เข้าในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น ลิ้นจี่มาร์ตินี่ ปรุงเป็นลูกกวาดและ ขนมหวานต่างๆ นอกจากนี้ ที่จีนยังใช้ลิ้นจี่แห้งเพิ่มความหวานให้ชาแทนการเติมน้ำตาล
คุณค่าทางอาหาร           ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่มีรสหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอมหวานชวนกิน คนไทยกินผลสด และนำลิ้นจี่มาทำเป็นน้ำผลไม้ดื่มแก้กระหายน้ำ  รสชาติหอมหวานชื่นฉ่ำใจ

           ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน และน้ำตาล มีน้ำมันหอมระเหย และมีกรดอินทรีย์บางชนิด วิตามิน  บี 1 ในลิ้นจี่ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ช่วยให้ ร่างกายเจริญเติบโตป้องกันไขมันอุดตันหลอดเลือด แคลเซียมเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง อีกทั้งยังมีไนอะซีน ช่วยเปลี่ยนน้ำตาลและไขมันให้เป็นพลังงานช่วยระบบย่อยอาหาร

           ลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่เหมาะสมกับการรักษารูปร่าง ลิ้นจี่ 1 ถ้วย (6 ผล ไม่แกะเมล็ดออก) ให้พลังงานเพียง 125  แคลอรี มีไขมันน้อยกว่า 1 กรัม ลิ้นจี่มีวิตามินบี 2 โพแทสเซียม และมีวิตามินซีสูงมาก กินลิ้นจี่เพียงวันละ 3 ผลก็ได้วิตามินซีครบถ้วนตามความต้องการใน 1 วัน เนื่องจากวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ช่วยบำรุงหลอดเลือด กระดูกและฟัน ในฤดูลิ้นจี่จึงควรกินลิ้นจี่แทนวิตามินซีสังเคราะห์สักระยะหนึ่ง

           เนื้อในผล  กินเป็นยาบำรุง แก้อาการไอเรื้อรัง แก้อาการคัดจมูก รักษาอาการท้องเดิน  ลดกรดในกระ-เพาะอาหาร และบรรเทาอาการไม่ปกติของระบบทางเดินอาหาร           ประเทศจีนใช้ชาเปลือก ลิ้นจี่บรรเทาอาการหวัด แก้การติดเชื้อในลำคอ อาการท้องเสียอย่างอ่อน และโรคจากการติดเชื้อไวรัส เมล็ดมีฤทธิ์แก้ปวดบวม โดยใช้บดเป็นผงชงน้ำดื่ม หรือใช้พอกบริเวณมีอาการ ชาต้มรากลิ้นจี่หรือเปลือกต้นใช้แก้อาการติดเชื้อ ไวรัส อีสุกอีใส และเพิ่มความสามารถระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ลิ้นจี่มีปริมาณเส้นใยอาหารสูง มีปริมาณพลังงาน ต่ำ และเชื่อกันว่ามีคุณสมบัติช่วยเผาผลาญสารอาหารในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ  ปัจจุบันจึงมีการกล่าวอ้างถึงสรรพคุณลิ้นจี่ในผลิตภัณฑ์ช่วยควบคุมอาหารและ ลดน้ำหนัก แต่ไม่พบที่มาของสรรพคุณในการเผาผลาญสารอาหารดังกล่าว

ลิ้นจี่ต้านมะเร็งเต้านม

           เนื้อลิ้นจี่และเปลือกลิ้นจี่มีสารฟลาโวนอยด์หลายชนิด งานวิจัยจากประเทศจีน 2 ชิ้นพบว่าส่วนเพอริคาร์พ (เปลือกและเนื้อผล) ของลิ้นจี่มีสารกลุ่มฟลาโวนอลที่สำคัญคือ โพรไซยาไนดินบี 4 ไพรไซยา- ไนดินบี 2 และอีพิคาเทชิน ส่วนแอนโทไซยานินที่สำคัญคือ ไซยาไนดิน3-  รูตินโนไซด์ ไซยาไนดิน-3กลูโคไซด์ เควอเซทิน-3- รูติโนไซด์ และเควอเซทิน-3-กลูโคไซด์ สารเหล่านี้แสดงฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นที่ดี โดยในกลุ่มฟลาโวนอลพบว่าโพรไซยาไนดินบี 2 กำจัดไฮดรอกซี่เรดิคัลและซูปเปอร์-ออกไซด์แอนอิออนได้ดีที่สุด
           ส่วนโพรไซยาไนดินบี 4 โปรไซยาไนดินบี 2 และอีพิคาเทชินมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งชนิดอื่นๆ อีก และมีพิษต่อเซลล์ปกติน้อยกว่ายาพาซิทาเซลที่ใช้ในปัจจุบัน

           นอกจากนี้ มีรายงานว่าสารสกัดเพอริคาร์พของลิ้นจี่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์ มะเร็งเต้านม ทั้งในห้องทดลองและในสัตว์ทดลอง โดยยับยั้งการขยายจำนวนเซลล์ การควบคุมการสื่อสารระหว่างเซลล์มะเร็ง การสร้าง mRNA และเหนี่ยวนำให้เกิดการตายของเซลล์มะเร็งดังกล่าวแบบอะป๊อบโทซิสในระดับยีน และยับยั้งผลต่อเนื่องในการแทรกตัว การยึดเกาะพื้นผิวของเซลล์มะเร็ง พบว่าขนาดของก้อนมะเร็งเต้านมในหนูทดลองลดลงร้อยละ 41 เมื่อได้รับสารสกัดเอทานอล ของเพอริคาร์พของลิ้นจี่ ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพิจารณาผลิตเป็นอาหารเสริมให้กับผู้ป่วยมะเร็ง

           งานวิจัยอีกชิ้นจากประเทศจีนรายงานว่า สารสกัดจากลิ้นจี่ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งของผู้ป่วยที่เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน สาธารณรัฐประชาชนจีน รายงานจากสหรัฐอเมริกาพบว่าสารสกัดลิ้นจี่ลดขนาดเนื้องอกในสัตว์ทดลอง



           มีรายงานว่าสารสำคัญในลิ้นจี่ดูดซึมได้ยาก ที่ประเทศญี่ปุ่นจึงผลิตสารสำคัญให้มีขนาดเล็กลง (ความลับทางการค้า) เพื่อจำหน่ายเป็นผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ แต่วันนี้จะขอแนะนำรายการเพิ่มการดูดซึมของสารสำคัญ ทำได้ง่ายๆ คือนำลิ้นจี่ไปปรุงอาหารกับอะไรที่มีไขมันนิดหน่อยจะทำให้ดูดซึมเข้าสู่ร่าง กายได้ดีขึ้น

           ลองสูตรโคลล์สลอว์จากอินเทอร์เน็ตเผื่อเด็กในบ้านจะติดใจ ได้ทั้งผักได้ทั้งลิ้นจี่ค่ะ


แตงโม

แตงโม ชื่อวิทยาศาสตร์Citrullus lanatus เป็นผลไม้ที่มีน้ำประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นพืชล้มลุกเป็นเถา อายุสั้น เถาจะเลื้อยไปตามพื้นดิน ถิ่นกำเนิดอยู่ในทะเลทรายคาลาฮารี ชาวอียิปต์เป็นชาติแรกที่ปลูกแตงโมไว้รับประทานเมื่อสี่พันปีมาแล้ว ชาวจีนเริ่มปลูกแตงโมที่ซินเกียงสมัยราชวงศ์ถัง แตงโมต้องการดินที่มีความชุ่มชื้นพอเหมาะ น้ำไม่ขัง มักปลูกกันในดินร่วนปนทราย ในประเทศไทยมีการปลูกแตงโมทั่วทุกภูมิภาค และปลูกได้ทุกฤดู

การใช้ประโยชน์

แตงโมเป็นผลไม้ที่มีคุณสมบัติเย็น จะช่วยลดอาการไข้ คอแห้ง บรรเทาแผลในปาก เปลือกแตงโมนำไปต้มเดือด แล้วเติมน้ำตาลทราย ดื่มเพื่อป้องกันเจ็บคอ
สิ่งที่ได้จากการบำรุงผิวหน้าด้วยแตงโม คือ ความเย็นของแตงโมช่วยผ่อนคลายผิวด้านนอกให้สดชื่น สารสีแดงจากแตงโม ที่เรียกว่า ไลโคปีน ที่มีแอนตี้ออกซิเดนท์ นอกจากช่วยในการบำรุงหัวใจ รวมถึงมะเร็งแล้ว ยังสามารถดูดซับความมันบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ที่จะช่วยควบคุมระบบการไหลเวียนของโลหิตในบริเวณผิวหน้าให้เป็นปกติ ช่วยให้รูขุมขนมีความยืดหยุ่น ชุ่มชื่น อีกทั้งในน้ำแตงโม มีโมเลกุลของน้ำตาลอยู่พอประมาณ รวมทั้งกรดอะมิโนอีกเล็กน้อย ช่วยในการบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี ชื่อภาษาจีน : 西瓜 ที่มา ; Daily News Online




วอชิงตัน - คณะนักวิจัยของกระทรวงเกษตรสหรัฐศึกษาพบว่า แตงโมแช่เย็นให้ความสดชื่นแก่ผู้รับประทานแต่อาจมีคุณค่าทางโภชนาการลดลงเมื่อเทียบกับแตงโมเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง

คณะนักวิจัยที่ห้องวิจัยปฏิบัติการทางการเกษตรในเมืองเลน รัฐโอคลาโฮมา ของกระทรวงเกษตรสหรัฐเผยในวารสารการเกษตรและเคมีอาหารว่า แตงโมเก็บที่อุณหภูมิห้องมีสารอาหารมากกว่าแตงโมแช่เย็นหรือแตงโมที่เพิ่งเก็บจากต้น พวกเขาศึกษาจากแตงโมที่เก็บไว้เป็นเวลา 14 วัน ณ อุณหภูมิที่แตกต่างกัน ได้แก่ 21 องศาเซลเซียส 13 องศาเซลเซียส และ 5 องศาเซลเซียส พบว่าแตงโมที่อุณหภูมิ 21 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิห้องในอาคารติดเครื่องปรับอากาศมีสารอาหารมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีไลโคปีนและเบต้าแคโรทีนมากกว่าแตงโมที่เพิ่งเก็บจากต้นประมาณร้อยละ 40 และร้อยละ 50-139 ตามลำดับ

ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้ผักผลไม้มีสีแดง คาดว่าช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็งได้บางชนิด ส่วนเบต้าแคโรทีนเป็นสารอาหารที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ งานวิจัยนี้ชี้ว่า แตงโมยังผลิตสารอาหารต่อเนื่องแม้ถูกเก็บมาจากต้นแล้ว กระบวนการนี้จะลดลงหากนำแตงโมไปเก็บในอุณหภูมิเย็น ปกติแล้วแตงโมจะมีอายุในการวางจำหน่ายประมาณ 14-21 วัน ณ อุณหภูมิ 13 องศาเซลเซียสหลังการเก็บเกี่ยว


ลักษณะทั่วไปของแตงโม

 ผลที่ข้างในสีสวยสดจับตาน่ากินชนิดนี้เป็นที่โปรดปรานของคนทั่วไป แค่ผ่าครึ่งก็พบกับความชุ่มฉ่ำ หอมหวาน เย็นชื่นใจ ใคร ๆ ก็ชอบ หากลองกินแตงโมแบบไม่แช่เย็นก็จะพบกับกลิ่นที่หอมมากกว่า หรือจะลองคว้านเนื้อแดง ๆ เอามาใส่เครื่องปั่น ใส่น้ำแข็งทุบ เติมน้ำเชื่อมนิดหน่อย แล้วเปิดเครื่อง ครู่เดียวแตงโมปั่นเย็น ๆ แก้ร้อนก็มาวางอยู่ตรงหน้า กินเพลินไปทีเดียว หรือจะใช้แตงโมเหลืองไร้เมล็ดก็สวยน่ารับประทานมากถึงมากที่สุด

คุณค่าทางอาหาร


  คนไทยเรากินแตงโมมานาน กินสดเฉย ๆ ดูธรรมดา จึงพลิกแพลงมาเป็นปลาแห้งแตงโม ปัจจุบันไม่ค่อยมีคนทำรับประทาน ปลาแห้งที่ว่าต้องปรุงกันด้วยน้ำตาลและหอมเจียวเหมือนที่กินกับข้าวเหนียว วิธีกินก็คือตัดแตงโมเป็นชิ้นพอคำจิ้มกับปลาแห้ง แล้วเอาเช้าปาก ก็จะได้รสกลมกล่อมของความหวาน จากน้ำแตงโมที่แหลมขึ้นด้วยน้ำตาล ความเค็มนิด ๆ ของปลาแห้ง และหอมเจียวที่หอมมัน ค่อย ๆ เคี้ยว อย่าเพิ่งน้ำลายไหลไปเสียก่อน เพราะแตงโมยังทำอาหารได้อีกหลายสูตร ทั้งลูกสุกลูกอ่อนกินได้ทั้งนั้น

 การปลูกและดูแล

 แตงโมนิยมปลูกเป็นพืชไร่มากกว่าปลูกไว้กินตามบ้าน แต่ถ้าจะปลูกในบ้านก็คงได้เหมือนกัน ที่บ้านผู้เขียนพอมีที่อยู่เล็กน้อย เอาเมล็ดแตงโมไปทิ้งโดยไม่ตั้งใจปลูก แต่ไม่นานนักก็มีเถาอะไรบางอย่างเลื้อยทอดไปตามดิน จึงเอาไม้ไผ่ไปปักให้เลื้อยพัน สักพักเธอก็มีดอกและออกลูกมาเป็นแตงโม คนเขียนก็เก็บเอามากินอร่อยไป ถึงลูกจะเล็กกว่าที่เขาขาย ๆ กัน เพราะไม่ค่ยอได้เติมปุ๋ย แต่ก็มาจากหลังบ้านเราเอง จึงกินได้สบายใจ เถาแตงก็ไม่ได้ใหญ่โตมากมาย มีพื้นที่เล็ก ๆ แตงโมก็แทรกตัวเติบโตขึ้นจนมีลูกได้ก็แล้วกัน
          ใครหลายคนอาจไม่เคยเห็นเถาแตงโมเลย เถาแตงโมนั้นพอใจที่จะทอดเลื้อยไปตามพื้นมากกว่าจะขึ้นบนค้างใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับกัน ใบมีรอยหยักเว้าแบบนิ้วมือ ดอกเป็นดอกเดี่ยว ดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่บนต้นเดียวกัน ขยายพันธุ์แตงโมด้วยเมล็ดว่ากันว่าหากปลูกในที่ดอนดินดี ๆ น้ำน้อย ๆ แล้วละก็ แตงที่ได้จะสีแดงสดรสหวานกว่าธรรมดา
  แตงโมมักถูกรบกวนด้วยแมลง เกษตรกรบางรายจึงมักพ่นยาฆ่าแมลงอย่างหนัก ดังนั้นเวลาซื้อมารับประทานก็ต้องล้างเปลือกนอกให้สะอาดก่อน
          สมัยเมื่อผู้เขียนเป็นเด็กเล็ก คุ้นเคยอยู่กับแตงโมเปลือกเขียวเข้มลูกกลมเปลือกหนาเหมือนลูกระเบิด สมัยนี้เห็นมีแต่แตงจินตหราลูกเรียว ๆ มีลาย คล้าย ๆ ของเดิมก็เห็นมีแต่แตงตอร์ปิโดที่มีลูกเขียวเข้ม และก็เปลือกหนาเหมือนกัน ต่างแต่รูปร่างที่เรียวยาว ไม่กลมเหมือนที่คนเขียนคุ้นเคยสมัยเป็นเด็ก
ว่าด้วยเรื่องกินแตงโมต่อ คราวนี้ว่ากันด้วยเรื่องคาว ๆ (ของอาหาร) บ้าง ลูกอ่อนของแตงโมนั้นเนื้อนิ่ม ขนาดเท่ากับกำปั้นผู้ใหญ่เอามาหั่นใส่แกงเลียงหรือแกงส้มก็ได้ อร่อยคนละรสกับลูกใหญ่หั่นแล้วต้มราดกะทิจิ้มน้ำพริกก็ใช่ย่อย เปลือกแตงโมหนา ๆ พันธุ์ดั้งเดิม กินเนื้อในแดงฉ่ำหมดแล้วไม่ทิ้ง แต่ฝานเอาผิวข้างนอกออกไปเหลือแต่เนื้อเปลือกขาว ๆ หั่นพอคำทำแกงส้มเสียเลย
          เม็ดกวยจี๊ที่เราแทะจนลืมบ้านลืมเมืองก็มาจากแตงโม แต่เป็นแตงพันธุ์เฉพาะที่จะเก็บเอาเมล็ดเท่านั้น เนื้อแตงพันธุ์นี้จึงน้อยและสีออกชมพู ๆ

ประโยชน์ของแตงโม

สารอาหารที่ค่อนข้างน้อย คือข้อด้อยของแตงโม แต่รสเย็นของแตงโมก็ช่วยได้ในเรื่องระบบขับถ่ายและระบบย่อยอาหาร แถมผลไม้ในใจของหลายคนนี้ยังมีคุณค่าทางสมุนไพร อาทิ รากมีน้ำยางใช้กินแก้อาหารตกเลือดหลังการแท้ง ใบใช้ชงเป็นยาลดไข้ ผลที่แสนอร่อยนั้นมีคุณสมบัตเป็นยาเย็น ช่วยระบาย ขับปัสสาวะ ช่วยย่อย แก้เบาหวาน และดีซ่าน
          เมล็ดมีโปรตีนสูง ช่วยบำรุงร่างกาย ปอด สมอง มิน่าเล่าเวลามีเม็ดกวยจี๊อยู่ตรงหน้า เราจึงมีสมาธิดีเลิศ กินเสร็จก็ปลอดโปร่งบอกไม่ถูก
          ลองหาเมล็ดแตงโมมาขยายพันธุ์ในบ้านของคุณดูบ้าง ใช้พื้นที่ไม่มาก ไม่ต้องทำค้าง ไม่ต้องเสียงกับข่าวลือ เรื่องแตงโมฉีดสี ไม่ต้องพ่นยาฆ่าแมลง เท่านี้ก็ได้แตงโมหวานฉ่ำที่ทำให้ (ปลูก) มากับมือ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
วราภรณ์ วิชญรัฐ, ไม้เลื้อยกินได้, สุรีวิยาสาส์น กรุงเทพมหานคร,2548. 120 หน้า